เมนู

เบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้พวกเรา
ปรารภในสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น.
ลำดับนั้น พระมหากัสสปะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยผู้มีอายุ พวก
ท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้
ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น
จากสิ่งและบุคคลเป็นที่รักที่ชอบทั้งหมดต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในสิ่งและบุคคล
ที่รักที่ชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความ
ทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่าขอสิ่งนี้ อย่าทำลายไปเลยดังนี้ ไม่เป็น
ฐานะที่จะมีได้.

มัลลปาโมกข์ 4



[156] สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ 4 องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้า
ใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยังไฟให้ติดจิตกาธารของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ย่อมไม่
อาจให้ติดได้. ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ถามท่านพระอนุรุทธะ
ว่า ท่านอนุรุทธะอะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ที่มัลลปาโมกข์
4 องค์เหล่านี้ ผู้สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยังไฟให้
ติดจิตกาธาร ย่อมไม่อาจให้ติดได้. ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะ
ทั้งหลาย พวกเทวดามีความประสงค์อย่างหนึ่ง. มัลลปาโมกข์ถามว่า ข้าแต่ท่าน
ผู้เจริญ พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไร. ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า
พวกเทวดามีความประสงค์ว่า ท่านพระมหากัสสปะนี้ พร้อมด้วยภิกษุ
สงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา
จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคเจ้าจักยังไม่ลุกโพลงขึ้น จนกว่าท่านพระมหา
กัสสปะจะถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยมือของตน.

มัลลปาโมกข์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของ
พวกเทวดาเถิด.

ถวายพระเพลิง



ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะเข้าไปถึงมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้า
มัลละในเมืองกุสินารา และถึงจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ครั้นเข้า
ไปแล้ว กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิต
กาธาน 3 รอบ แล้วเปิดทางพระบาท ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มี
พระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า. แม้ภิกษุ 500 รูปเหล่านั้น กระทำจีวรเฉวียงบ่า
ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ 3 รอบแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสอง
ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า. เมื่อท่านพระมาหากัสสปะและภิกษุ 500
รูปนั้นถวายบังคมแล้ว จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็โพลงขึ้นเอง. เมื่อ
พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้อยู่ พระอวัยวะส่วนใด คือ
พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารุ หรือพระลสิกา เถ้าเขม่าแห่งพระ
อวัยวะส่วนนั้น มิได้ปรากฏเลย เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียว. เมื่อเนยใส
และน้ำมันถูกเพลิงไหม้อยู่ เถ้าเขม่ามิได้ปรากฏฉันใด เมื่อพระสรีระของพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้อยู่. . .เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียวฉันนั้นเหมือน
กัน. บรรดาผ้า 500 คู่ เหล่านั้น เพลิงไหม้เพียง 2 ผืนเท่านั้น คือผืนในที่
สุดกับผืนนอก. เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้แล้ว ท่อน้ำ
ก็ไหลหลั่งมาจากอากาศดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า. น้ำพุ่งขึ้นแม้จาก
ไม้สาละ ดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา
ดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยน้ำหอมทุกชนิด. ลำดับนั้น พวกเจ้า
มัลละเมืองกุสินารา ทำสัตติบัญชร ในสัณฐาคาร แวดล้อมด้วยธนูปราการ
สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด 7 วัน
ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ ของหอม.